เสริมอาหารกับอาหารเสริมอย่างรู้คุณค่า
ศ.นพ.จอมจักร จันทรสกุล
ชีวิตของคนส่วนใหญ่ในปัจจุบันอาจไม่เอื้ออำนวยให้รับประทานอาหาร ตามหลักโภชนาการที่ดีได้ ไหนจะด้วยเงื่อนไขของเวลา หรือภาระหน้าที่ต่างๆ จึงรับประทานอาหารมื้อสำคัญๆ อย่างขอไปที บางครั้งถึงกับต้องลดหรือ งดอาหารบางมื้อไป บ่อยๆ ครั้งเข้าส่งผลให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการ ยิ่งไปกว่านั้นการใช้ชีวิตที่เร่งรีบ การทำงานที่มีการแข่งขันสูง ยังทำให้เกิดแรงกดดันจนเกิดภาวะเครียดหนัก ก็ยิ่งเร่งให้ร่างกายอ่อนเพลียมากขึ้นด้วย และถ้ามีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยมลพิษ ฝุ่นควันจากท่อไอเสีย สารพิษจากยาฆ่าแมลง และวัตถุกันเสียที่ปนเปื้อนต่างๆ ก็ยิ่งทำให้สุขภาพของคุณเสื่อมโทรมก่อนเวลาอันควร
จากภาวะแวดล้อมดังที่กล่าวมาข้างต้น จึงทำให้อาหารเสริมเข้ามามีบทบาทและ มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของคนเราไปโดยปริยาย เพราะใครๆ ต่างต้องการมีสุขภาพแข็งแรง แต่อย่างไรก็ดีการซื้ออาหารเสริมมารับประทาน ควรเลือกเสริมให้ถูกชนิดและเหมาะสมกับอายุ สภาพร่างกาย สภาพแวดล้อมและการดำเนินชีวิต ฉะนั้นก่อนซื้ออาหารเสริมมารับประทานควรศึกษาข้อมูลให้ดี โดยเลือกอาหารเสริมที่มีการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือ ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์ นักโภชนาการ หรือเภสัชกร ก่อนอื่นควรทำความรู้จักว่า จริงๆ แล้วอาหารเสริมคืออะไร ใครบ้างที่ต้องการอาหารเสริม และอาหารเสริมจำเป็นต่อร่างกายเพียงใด
อาหารเสริมคืออะไร?
“อาหารเสริม” ก็คือผลิตภัณฑ์ที่ใช้รับประทานเพื่อเสริมการรับประทานอาหารหลัก ไม่ได้มีสรรพคุณในการรักษาอาการเจ็บไข้ได้ป่วย แต่มีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันการเกิดโรคหรือ เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของร่างกายในคนที่มีสุขภาพปกติ โดยอาหารเสริมอาจอยู่ในรูปของเม็ด เกล็ด ผง แคปซูล ของเหลว หรือในลักษณะอื่นๆ ที่ใช้รับประทานได้โดยตรง
อาหารเสริมที่คนไทยเราคุ้นเคยกันดี ได้แก่ น้ำมันปลา ซึ่งประกอบด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่จะช่วยลดไขมันในเลือดและ ป้องกันโรคหัวใจ กระเทียมอัดเม็ด ซึ่งมีสรรพคุณในการลดคอเลสเตอรอล พรุนสกัด ที่อุดมไปด้วยใยอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระ ซุปไก่สกัด มีโปรตีนที่ถูกย่อยให้มีขนาดเล็กลงในรูปไดเป็บไทด์ เพื่อให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้ทันที ซึ่งมีงานวิจัยว่าช่วยลดความเครียด คลายความอ่อนล้าของสมองและร่างกาย ช่วยเสริมสร้างให้มีสมาธิดีขึ้น กระตุ้นประสิทธิภาพการเผาผลาญอาหาร และเพิ่มความสามารถในการดูดซึมของธาตุเหล็ก เพราะถ้าขาดธาตุเหล็กนานๆ จะทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย ทำให้ความจำลดลง และนำไปสู่ภาวะโลหิตจางได้ในทีสุด
ใครบ้างที่ต้องการอาหารเสริม?
อาหารเสริมเหมาะกับคนทุกเพศทุกวัยที่ต้องการบำรุงร่างกายให้แข็งแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตรีมีครรภ์ หรืออยู่ในระหว่างให้นมบุตร ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ผู้ป่วยหรือผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรังบางชนิดที่จำเป็นต้องรับประทานยาบางกลุ่ม ที่มีผลในการลดการดูดซึมของสารอาหาร ผู้ที่มีปัญหาภาวะโลหิตจาง ผู้สูงอายุ รวมไปถึงเด็กที่กำลังอยู่ในวัยเจริญเติบโต เพราะกลุ่มบุคคลเหล่านี้ต้องการเสริมสารอาหาร ที่พิเศษกว่าคนที่อยู่ในภาวะปกติ
อย่างไรก็ตามโปรดระลึกไว้เสมอว่า อาหารเสริมไม่ใช่อาหารหลัก จึงไม่สามารถทดแทนอาหารหลักได้ แต่เป็นอาหารที่รับประทานเพื่อเสริมจากอาหารหลัก ที่ได้รับไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ในการส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรง ฉะนั้นสิ่งสำคัญที่เราทุกคนควรปฏิบัติก็คือ รับประทานอาหารให้ครบมื้อครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้แจ่มใส รักษาสภาพแวดล้อมให้ดี ก็จะช่วยให้มีสุขภาพดีได้
อ้างอิง
1. Geissler, C., Boroumand – Naini, M., Harada, M., et al. (1996) “Chicken extract stimulates hemoglobin restoration in iron deficient rats”, Int J of Food Sci Nutr; 47 : 351-360
2. Geissler, C., Harada, M., Williams, A., et al. (1996) “Effects of chicken extract on iron status : animal and human studies”. The 5th International Symposium on Clinical Nutrition : Training Course in Clinical Nutrition. Bangkok: 1-10
3. Azhar, M.Z. and Syed, M. (2003) “Effect of Taking Chicken Essence on Stress and Cognition of Human Volunteers”, Mal J Nut; 9 (1) : 19-29.
ที่มาข้อมูล : คอลัมน์ห่วงใยสุขภาพ ขวัญเรือน ฉบับปักษ์หลัง ธ.ค.50
วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553
วันพุธที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
สธ.วิจัยพบผลไม้ไทย 30 ชนิดเป็นยา

ผลไม้ไทย ใช้เป็นยา
กระทรวงสาธารณสุข เผยผลวิจัยล่าสุด พบมีผลไม้กว่า 30 ชนิดที่อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินอี และเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ทำลายอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวการสำคัญก่อโรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคตาต้อกระจกในผู้สูงอายุ
นายแพทย์ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ขณะนี้คนไทยกำลังเผชิญกับปัญหาสุขภาพที่เกิดจากพฤติกรรมการกินการอยู่มากขึ้น มีข้อมูลการวิจัยจากผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับสารอนุมูลอิสระ ซึ่งสามารถทำปฏิกิริยาโยงใยในร่างกายได้มากมาย ก่อให้เกิดการอักเสบ การทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด โดยเฉพาะโรคมะเร็งและโรคหัวใจซึ่งกำลังเป็นปัญหาใหญ่ทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม การวิจัยดังกล่าวพบว่ามีสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ วิตามินซี วิตามินอี และเบต้าแคโรทีน ซึ่งสารทั้ง 3 ตัวนี้ สามารถกำจัดอนุมูลอิสระได้ โดยวิตามินซี ซึ่งละลายน้ำได้ ทำหน้าที่จับอนุมูลอิสระในเซลล์ที่เป็นของเหลว ป้องกันการถูกอนุมูลอิสระทำลาย ส่วนวิตามินอี เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน จะช่วยยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระได้ และวิตามินเอ เป็นวิตามินที่ละลายในไขมันที่อยู่ในรูปของเบต้าแคโรทีน หรือแคโรทีนอยด์ ซึ่งมีในอาหารธรรมชาติประมาณกว่า 600 ชนิด ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก และมีความเกี่ยวข้องกับสุขภาพด้านอื่นๆ ได้แก่ ลดความเสี่ยงเกี่ยวกับการเสื่อมของตาเนื่องจากสูงอายุ และต้อกระจก รวมทั้งลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งบางชนิดและโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อย่างดี
ด้านนายแพทย์ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า กรมอนามัยได้ศึกษาแหล่งอาหารไทยที่มีสารต้านอนุมูลอิสระทั้ง 3 ชนิดนี้ เพื่อใช้เป็นข้อมูลส่งเสริมให้ประชาชนทั่วประเทศ ได้บริโภคสารสำคัญอย่างต่อเนื่องทุกวัน โดยศึกษาผลไม้ที่มีบริโภคในประเทศไทย ในปริมาณส่วนที่รับประทาน 100 กรัม ผลพบว่า ผลไม้ที่พบสารเบต้าแคโรทีน มากที่สุด 10 อันดับแรก คือ มะม่วงน้ำดอกไม้สุกมี 873 ไมโครกรัม รองลงมา ได้แก่ มะเขือเทศราชินีมี 639 ไมโครกรัม และมะละกอสุก 532 ไมโครกรัม แคนตาลูป 217 ไมโครกรัม มะปรางหวาน 230 ไมโครกรัม มะยงชิด 207 ไมโครกรัม สับปะรดภูเก็ต 150 ไมโครกรัม แตงโม 122 ไมโครกรัม ส้มสายน้ำผึ้ง 101 ไมโครกรัม และลูกพลับ 93 ไมโครกรัม
ผลไม้ที่มีวิตามินอีสูงสุด 10 อันดับแรก ได้แก่ ขนุนหนัง 2.38 มิลลิกรัม มะขามเทศ 2.29 มิลลิกรัม มะม่วงเขียวเสวยดิบ 1.52 มิลลิกรัม มะเขือเทศราชินี 1.34 มิลลิกรัม มะม่วงเขียวเสวยสุก 1.23 มิลลิกรัม มะม่วงน้ำดอกไม้สุก 1.1 มิลลิกรัม มะม่วงยายกล่ำสุก 0.97 มิลลิกรัม กล้วยไข่ 0.47 มิลลิกรัม แก้วมังกรเนื้อสีชมพู 0.59 มิลลิกรัม และสตรอเบอรี่ 0.54 มิลลิกรัม
ส่วนผลไม้ที่มีวิตามินซีมากที่สุด 10 อันดับแรก คือ ฝรั่งกลมสาลี่ 187 มิลลิกรัม ฝรั่งไร้เมล็ด 151 มิลลิกรัม มะขามป้อม 111 มิลลิกรัม มะขามเทศ 97 มิลลิกรัม เงาะโรงเรียน 76 มิลลิกรัม ลูกพลับ 73 มิลลิกรัม สตรอเบอรี่ 66 มิลลิกรัม มะละกอแขกดำสุก 55 มิลลิกรัม พุทธาแอปเปิล 47 มิลลิกรัม และ ส้มโอขาวแตงกวา 48 มิลลิกรัม
ที่มา : สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ภาพประกอบ : www.thaihealth.or.th
ศูนย์วิจัยและพัฒนามังคุดไทย

ศูนย์วิจัยและพัฒนามังคุดไทย
จัดตั้งขึ้นโดยนักวิจัยไทยที่ได้ทำการวิจัยสารธรรมชาติในมังคุดอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง โดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้
1.เพื่อรวบรวมนักวิจัยไทยที่ดำเนินการวิจัยเกี่ยวกับสารในมังคุดให้อยู่ในองค์กรเดียวกัน สะดวกต่อการแลกเปลี่ยนความรู้ และข้อมูล ทำให้ไม่เกิดการสูญเสียเวลาและงบประมาณจากการทำการวิจัยซ้ำซ้อน
2. เพื่อประสานให้นักวิจัยร่วมวางแผนการวิจัยเพิ่มเติม ได้ข้อสรุปเชิงวิชาการที่จะช่วยยกระดับคุณภาพและสรรพคุณของผลิตภัณฑ์ มังคุดไทย อาทิเช่น การทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์มังคุดไทยในการเสริมสร้างสุขภาพ และป้องกันโรค ต่าง ๆ ในคนซึ่งจำเป็นจะต้องอาศัยความร่วมมือของนักวิจัยจากหลายสาขาความเชี่ยวชาญ และงบประมาณที่สูง
3.เพื่อประสานให้นักวิจัยไทยใช้ผลงานและข้อมูลของงานวิจัยเกี่ยวกับสารในมังคุดในการร่วมสร้างอุตสาหกรรมที่มั่นคง และยั่งยืนกับชาวสวน และนักอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์มังคุด อันจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ชาวสวนในการเพิ่มมูลค่าของผลผลิต เกิดประโยชน์แก่นักอุตสาหกรรมในการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มและเกิดประโยชน์แก่นักวิจัยเองในเชิงสร้างความภาคภูมิใจ และค่าสมนาคุณที่เหมาะสม
4. เพื่อนำเสนอผลงานและข้อมูลงานวิจัยสารในมังคุดจนถึงปัจจุบันและที่จะ เกิดขึ้นในอนาคตอย่างเป็นเอกภาพ และครบวงจรให้กับ วงการวิชาการ วงการธุรกิจ และประชาชนทั่วไปทั้งในและต่างประเทศ สร้างความเชื่อมั่น และการยอมรับในประโยชน์ จากการใช้ผลิตภัณฑ์มังคุดในกลุ่มผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้บริโภคที่มีความรู้และการศึกษาในประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งจะทำให้ สามารถเพิ่มปริมาณและมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ไปต่างประเทศในที่สุด
กรณีศึกษา นำเสนอในการประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 34 (วทท34)

กรณีศึกษา นำเสนอในการประชุมวิชาการ
วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 34 (วทท34)
ข้อมูลด้านล่างนี้ได้นำเสนอในการประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 34 (วทท34) ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ วันที่ 31 ตุลาคม 2551
1. มะเร็งระยะสุดท้าย / Last stage cancer - ตัวอย่างผู้เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ด้วยมะเร็งในปอด ในกระดูก และที่ลิ้น พูดไม่ได้น้ำลายไหลตลอดเวลา ไอเป็นเลือดมาก ปวดทั้งตัว เคลื่อนไหวไม่ได้ - ธันวาคม 2007 หมอให้กลับไปรักษาตัวที่บ้าน มีเวลา 3 เดือนจัดการเรื่องส่วนตัว - 24 กุมภาพันธ์ 2008 เริ่มใช้ แคปซูล GM-1 อาการดีขึ้นเป็นลำดับ…โดย 4วัน สามารถลุกขึ้นนั่งเองได้, 10วัน อาการปวดลดลง ลุกยืนขึ้นได้, 24วัน เริ่มออกกำลังกายได้ น้ำลายหยุดไหล พูดสะดวกขึ้น - 8 สัปดาห์ ผลการตรวจเลือดพบว่าเซลล์มะเร็งหยุดแพร่ ผลการตรวจเนื้องอกและมะเร็ง พบว่าเนื้องอก และมะเร็งลดลง ตับอยู่ในสภาพทำงานได้อย่างปกติ - ปัจจุบัน ขับรถได้ในระยะสั้น ชอปปิ้ง,ออกกำลังกายได้ ไปทานอาหารนอกบ้านได้ เริ่มมีชีวิตอย่างปกติ
2.มะเร็งผิวหนัง / Skin cancer - ตัวอย่างผู้เป็นมะเร็งผิวหนัง มีแผลที่หลัง ทายารักษามาตลอด 3 ปีก็ไม่หาย แพทย์ผิวหนังวินิจฉัยพบว่าเป็นมะเร็งผิวหนัง ตรวจชิ้นเนื้อแล้วพบเซลล์มะเร็ง และเริ่มมีเซลล์สะเก็ดเงิน - หลังจากรับประทานแคปซูล GM-1 ก่อนนัดทำเลเซอร์ 2 สัปดาห์ พบว่าแผลมีอาการดีขึ้นมาก หมอจึงงดการทำเลเซอร์ อนุญาติให้ทาน แคปซูล GM-1 ต่อเนื่องอีกเดือนแล้วจึงมาตรวจผลใหม่อีกครั้ง ปรากฏว่าแผลดีขึ้นและเริ่มหายเป็นปกติ
3.เอดส์ / HIV Infection - ตัวอย่างผู้ติดเชื้อ HIV มาเป็นเวลา 2 ปี มีเชื้อราที่ปาก ติดเชื้อที่ปอด และอาการคันตามร่างกาย - ได้เข้ารับการรักษาฟื้นฟูร่างกายที่ศูนย์ภูมิบำบัดรา ชพฤษ์ หลังจากได้ทาน แคปซูล GM-1 แล้ว เชื้อราที่ปากดีขึ้น สุขภาพแข็งแรงขึ้น ไม่มีอาการติดเชื้อที่ปอด และไม่มีผลข้างเคียงใดๆ
4.สิวอักเสบ / Face chronic infection - ตัวอย่างผู้มีปัญหาสิวอักเสบบนใบหน้าตั้งแต่อายุ 26 ปี หลังคลอดบุตรคนแรก - เข้ารับการรักษาตามคลีนิคต่างๆ อาการก็ไม่ดีขึ้น และผิวหน้าแย่ลงเรื่อยๆ - หลังจากรับประทาน แคปซูล GM-1 ในช่วงแรกสิวเห่อขึ้นบ้าง แต่เพียง 3 สัปดาห์อาการสิวอักเสบดีขึ้นมาก ปัจจุบันใช้ต่อเนื่องมา 4 เดือน ผิวหน้ากลับมาเป็นปกติ เป็นผลมาจากสรรพคุณของสารสกัดจากมังคุด GM-1 ในการต้านแบคทีเรีย ต้านการอักเสบ และเสริมภูมิคุ้มกัน
5.เบาหวาน / Diabetes
ตัวอย่างที่ 1 เป็นเบาหวานมา 14 ปี อาการหนักขึ้นเมื่อปี 2550 โดยเริ่มมีปัญหาไต และตับชื้น มีแผลเรื้อรังที่เท้า - หลังจากรับประทาน แคปซูล GM-1 แล้วแผลดีขึ้น แผลเริ่มตกสะเก็ด สามารถวิ่งออกกำลังกายได้
ตัวอย่างที่ 2 เป็นเบาหวานมา 4 ปี น้ำหนักลดลงเหลือ 52 กิโลกรัม ระดับน้ำตาลในเลือดสูงถึง 600 มิลิกรัม ต้องฉีดอินซูลีนทุกวันเช้า-เย็น โดยไม่มีอาการดีขึ้น - หลังจากรับประทาน แคปซูล GM-1 แล้วอาการดีขึ้นมาก น้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 65 กิโลกรัม น้ำตาลในเลือดลดลงเหลือ 150 มิลิกรัม
ตัวอย่างที่ 3 เป็นเบาหวาน ไตวายระยะที่ 2 มีแผลเรื้อรังในร่มผ้า - ได้เข้ารับการรักษาฟื้นฟูร่างกายที่ศูนย์ภูมิบำบัดรา ชพฤษ์ หลังจากได้ทาน แคปซูล GM-1 แล้ว อาการไตวายและแผลเรื้อรังหายดีขึ้น
ตัวอย่างที่ 4 เป็นเบาหวาน 7-9 ปี มีบาดแผลลึกที่เท้า เริ่มมีเชื้อบาดทะยัก ใช้ยาฆ่าเชื้อแต่อาการไม่ดีขึ้น หมอเตรียมตัดเท้าทิ้ง - หลังจากใช้ แคปซูล GM-1 แผลเริ่มดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดใน 4 วัน และหายเป็นปกติใน 3 สัปดาห์
6.พาร์คินสัน อาการสันนิบาต / Parkinson's disease - ตัวอย่างผู้เป็นพาร์คินสันที่ประเทศสหรัฐฯ มีอาการสั่นรุนแรงขึ้นเร็วมาก จนไม่สามารถถือแก้วน้ำดื่มเองได้ ต้องดื่มโดยใช้หลอด ไม่สามารถถือหนังสือพิมพ์อ่านเองได้ ต้องวางไว้บนโต้ะก้มลงอ่าน - หลังเริ่มใช้ แคปซูล GM-1 อาการสั่นเริ่มลดลงจนเกือบจะหายเป็นปกติ เดินได้ตรง สามารถออกกำลังกายได้ ไม่มีอาการข้างเคียงใดๆ
7.ลำไส้ติดเชื้อ / Intestinal infection - ตัวอย่างผู้มีอาการลำไส้ติดเชื้อ กินข้าวไม่ค่อยได้ นอนไม่ค่อยหลับ อ่อนเพลีย นอนป่วยมาเป็นเดือนๆ ต้องมีคนคอยช่วยเหลืออยู่ตลอด มีอาการอาเจียนทุกครั้งหลังจากทานข้าว และยาที่หมอให้มา - หลังจากรับประทาน แคปซูล GM-1 ครั้ง ละ 2 เม็ด ตอนเช้าและก่อนนอน วันรุ่งขึ้นสามารถลุกขึ้นอาบน้ำ และไปทำงานเองได้ กลับมารับประทานข้าวได้ตามปกติ และอาการดีขึ้นเป็นลำดับ หลังจากทานแคปซูลต่อเนื่องหนึ่งอาทิตย์
8.ตับเสื่อม / Liver failure -ตัวอย่างที่ 1 มีอาการอ่อนเพลีย หมดสติ วูบไปโดยไม่รู้ตัว พบว่ามีอาการตับเสื่อมอย่างรุนแรง - ได้เข้ารับการรักษาฟื้นฟูร่างกายที่ศูนย์ภูมิบำบัดรา ชพฤษ์ หลังจากได้ทาน แคปซูล GM-1 อาการดีขึ้น ไม่มีอาการอ่อนเพลียหรือวูบหมดสติ และไม่มีผลข้างเคียงใดๆ กลับมาแข็งแรงตามปกติ ตัวอย่างที่ 2 มีอาการตาเหลือง ผิวเหลือง และปัสสาวะมีสีเหลือง ซึ่งแสดงถึงภาวะตับเสื่อม - หลังจากรัปประทาน แคปซูล GM-1 ต่อเนื่อง 116 วัน ผลจากการตรวจเลือดแสดงว่าตับสามารถกลับมาทำงานเกือบป กติ
9.กระเพาะเรื้อรัง / Peptic Ulcer - ตัวอย่างผู้มีอาการกระเพาะเรื้อรัง อาสาสมัคร 20 คน รับประทาน แคปซูล GM-1 จำนวน 2 แคปซูลต่อวัน เป็นเวลา 4 สัปดาห์ - อาการปวดท้องจากแผลในกระเพาะอาหารหายไปอย่างต่อเนื่อ งตั้งแต่อาทิตย์แรก - ผลการตรวจเลือดก่อนและหลังใช้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงค่า ใดๆในเลือดแสดงว่าปลอดภัยไร้ผลข้างเคียง
10.สะเก็ดเงิน / Psoriasis - ตัวอย่างผู้เป็นสะเก็ดเงินมา 15 ปี อาการเริ่มแรกเกิดขึ้นที่ท้ายทอย และลามไปตามตัว ตามร่างกาย ผิวมีลักษณะเป็นเกร็ดขาวๆ เดินไม่ได้ ลุกขึ้นไม่ได้ ทำงานไม่ได้ - หมอวินิจฉัยว่าเป็นสะเก็ดเงิน ไม่สามารถรักษาได้ ให้ยามารับประทานแต่อาการไม่ดีขึ้น คลื่นไส้ อ่อนเพลีย ทำงานไม่ได้ เลยใช้ยาแบบทาอย่างเดียว ซึ่งต้องทาทุกวัน - หลังจากรับประทาน แคปซูล GM-1 แล้วผิวเรียบขึ้น กลับมาทำงานได้ตามปกติ
11.ติดเชื้อราและแบคทีเรีย / Heals skin diseases & rashes. (Anti Fungal & Anti Bacterial) - ตัวอย่างผู้มีอาการติดเชื้อรา และ แบคทีเรีย ตามผิวหนัง มีลักษณะเป็นตุ่มเล็กๆ ทั่วตัว และผิวอักเสบเป็นสีแดง - หลังจากใช้ แคปซูล GM-1 ผิวกลับมาเรียบเนียนและคืนสู่ปกติ
12.ข้ออักเสบรูมาตอยส์ / Rheumatoid arthritis - ตัวอย่างผู้เป็นรูมาตอยส์มากว่า 14 ปี ทุกวันจะมีอาการปวดและอักเสบมาก ปวดตามข้ออย่างรุนแรง โดยเฉพาะในช่วงเช้าจะปวดและอักเสบมาก - เข้ารับรักษามากว่า 10 ปีโดยใช้กลุ่มยาสเตอรรอยด์แบบฉีดเข้าข้อ และชนิดรับประทาน แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น และมีผลข้างเคียงต่อร่างกาย - หลังจากรับประทาน แคปซูล GM-1 แล้วเพียง 1-2 เดือน อาการปวดข้อตามจุดเล็กๆดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช่น ข้อนิ้ว หัวไหล่ - หลัง 3-4 เดือน ตรวจผลเลือดออกมาดีขึ้น ลดการใช้กลุ่มยาสเตอรรอยด์ลง - ปัจจุบัน ไม่ได้ใช้ยาสเตอรรอยด์แล้ว
13.ลูกสะบ้าหัวเข่าเสื่อม / Deteriorated kneecap - ตัวอย่างผู้มีอาการลูกสะบ้าหัวเข่าเสื่อม ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าไม่สามารถเดินได้ หมอที่ประเทศสหรัฐฯ วินิจฉัยให้ทำการผ่าตัดเพราะเอ็นขาด - หลังจากได้รับการผ่าตัดแล้ว อาการปวดก็ยังไม่หาย และมีอาการเจ็บปวดมาก ไม่สามารถเดินได้เองจนต้องนั่งบนรถเข็น และได้ปฏิเสธการเปลี่ยนเข่าตามคำแนะนำของคุณหมอ - ได้มีโอกาสมาเมืองไทยแล้วใช้แคปซูล GM-1 ทาน 2 เม็ดก่อนนอนเป็นเวลา 7 วัน สามารถเดินเที่ยวในลาวได้ทั้งวันโดยไม่มีอาการปวดแต่ อย่างใด - ปัจจุบัน สามารถเดินได้ตามปกติ โดยไม่ต้องทำการผ่าตัดเปลี่ยนหัวเข่าแล้ว
เรื่องน่ารู้ เกี่ยวกับมะเร็ง


มะเร็ง (เส็งเคร็ง)
• ในร่างกายของทุก ๆ คน จะมีเซลมะเร็งอยู่ในร่างกาย แต่จะไม่สามารถตรวจสอบได้ด้วยการทดสอบมาตรฐานทั่วไป จนกระทั่งเมื่อเซลมะเร็งได้ทวีจำนวนเพิ่มเป็นหลายพันล้านเซล เมื่อหมอบอกกับผู้ป่วยมะเร็งว่า ตรวจไม่พบเซลมะเร็งในร่างกาย ความจริงก็คือว่า การตรวจมาตรฐานนั้นไม่สามารถที่จะตรวจพบเซลมะเร็ง เพราะว่าเซลมะเร็งยังไม่ได้เพิ่มจำนวนถึงขนาดที่สามารถตรวจพบได้
• เซลมะเร็งเกิดขึ้นได้ระหว่าง 6 ถึง มากกว่า 10 ครั้ง ในช่วงชีวิตของแต่ละคน
• เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงเพียงพอ เซลมะเร็งก็จะถูกทำลายและระงับไม่ให้มีการขยายตัวและก่อตัวเป็นเนื้องอก
• คนเป็นมะเร็ง เพราะมีสภาวะทุโภชนาการ ซึ่งอาจจะมีสาเหตุจากกรรมพันธุ์ สิ่งแวดล้อม อาหาร และ วิถีการดำเนินชีวิต การแก้ไขสภาวะทุโภชนาการ ทำได้โดยการเปลี่ยนแปลงอาหาร และใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
• เคมีบำบัด เป็นวิธีการหนึ่งที่ให้สารพิษแก่เซลมะเร็งที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกันก็ทำลายเซลปกติที่กำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในกระดูกไขสันหลัง ในระบบทางเดินอาหาร ฯลฯ ด้วย และ ทำลายอวัยวะต่าง ๆ เช่น ไต หัวใจ ปอด ฯลฯ• รังสีบำบัด แม้จะทำลายเซลมะเร็งได้ แต่ทำให้เกิดการไหม้ รอยแผลเป็น และทำลายเซลที่ดีของ เนื้อเยื่อ และ อวัยวะต่าง ๆ ได้ด้วย
• การรักษาด้วยเคมีบำบัด และ รังสีบำบัด ในระยะแรก มักจะลดขนาดของเซลมะเร็งที่มีอยู่ แต่การใช้อย่างต่อเนื่อง พบว่าไม่สามารถทำลายเซลมะเร็งได้มากขึ้น
• เมื่อร่างกายได้รับพิษอย่างมากจากเคมีบำบัดและรังสีบำบัด ภูมิคุ้มกันในร่างกายจะเริ่มไม่สมดุล และ/หรือ อาจถูกทำลายไป ดังนั้น ร่างกายจะเริ่มติดเชื้อและเกิดอาการข้างเคียงได้ง่าย
• เคมีบำบัดและรังสีบำบัด สามารถทำให้เซลมะเร็งกลายพันธุ์ และ เกิดอาการดื้อต่อการรักษาจนไม่สามารถจะถูกทำลายได้ การผ่าตัดก็อาจจะทำให้เซลมะเร็งแพร่กระจายไปสู่ส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้
• วิธีการที่จะพิชิตเซลมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพวิธีหนึ่งคือ การทำให้เซลมะเร็งอดตายโดยไม่ให้มันได้รับอาหารที่จำเป็นต่อการขยายตัว
เซลมะเร็งและอาหารของเซลมะเร็ง
• น้ำตาล คือสารอาหารที่มะเร็งชอบมาก การงดน้ำตาลในอาหารจะเป็นวิธีสำคัญที่ทำให้เซลมะเร็งขาดสารอาหารได้
• นม มักจะทำให้ร่างกายสร้างเมือก โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร เซลมะเร็งจะใช้เมือกเป็นอาหาร การงดรับประทานนม และดื่มนมถั่วเหลืองที่ไม่หวานแทน จะทำให้เซลมะเร็งอดตาย
• เซลล์มะเร็งเจริญเติบโตได้ดีในสภาวะที่เป็นกรด อาหารที่ทำจากเนื้อวัวมีสภาวะเป็นกรด ดังนั้น วิธีที่ดี คือ การกินปลา หรือ กินเนื้อไก่เพียงเล็กน้อย จะดีกว่าการกินเนื้อหมู หรือ เนื้อวัว นอกจากนั้น ในเนื้อวัวยังอาจจะมียาปฎิชีวนะ, ฮอร์โมนที่ใช้เร่งในการเจริญเติบโต หรือ เชื้อปรสิตบางประเภทตกค้างอยู่ ซึ่งล้วนเป็นอันตรายอย่างยิ่งกับผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็ง
• อาหารที่เหมาะกับผู้ป่วยมะเร็ง 80% ควรจะเป็นอาหารที่ประกอบด้วยผักสด น้ำผลไม้ พืชจำพวกหัว เมล็ด ถั่วเปลือกแข็ง และผลไม้จำนวนเล็กน้อย ซึ่งจะช่วยทำให้ร่างกายมีสภาวะเป็นด่าง อาหารอีก 20% อาจได้มาจากการปรุงร่วมกับพืชจำพวกถั่ว น้ำผักสดจะให้เอ็นไซม์ซึ่งสามารถดูดซึมได้ง่ายและซึมซาบสู่ระดับเซลภายใน 15 นาที เพื่อ บำรุงร่างกายและส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลที่ดี เพื่อให้ได้เอ็นไซม์ในการสร้างเซลที่ดี ควรพยายามดื่มน้ำผักสด (ผักส่วนใหญ่รวมทั้งถั่ว หรือ ถั่วงอก) และรับประทานผักสดดิบ 2-3 ครั้งต่อวัน เอ็นไซม์จะถูกทำลายได้ง่ายที่อุณหภูมิ 140 องศา F ( ประมาณ 40 องศา C)
• หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ ชา และ ช็อคโกแลต ที่มีคาเฟอีนสูง ชาเขียวจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าเพราะมีคุณสมบัติในการช่วยต่อต้านมะเร็งได้ด้วย ควรดื่มน้ำบริสุทธิ์ หรือน้ำที่ผ่านเครื่องกรองแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงสารพิษและโลหะหนักที่อยู่ในน้ำประปา น้ำกลั่นมีสภาพเป็นกรด จึงควรหลีกเลี่ยง• โปรตีนจากเนื้อวัว จะย่อยยาก และต้องใช้เอนไซม์ในการช่วยย่อย เนื้อวัวที่ไม่ย่อยจะหมักหมมอยู่ในลำไส้ จนเกิดเป็นพิษได้• ผนังของเซลมะเร็งมีเปลือกห่อหุ้มแข็งแรงที่เป็นโปรตีน การงดรับประทาน หรือ กินเนื้อวัวให้น้อยลงจะทำให้มีเอนไซม์เหลือมากพอที่จะทำลายโปรตีนของผนังเซลมะเร็งได้ดีขึ้น และ ช่วยให้เซลนักฆ่าของร่างกายสามารถจัดการเซลมะเร็งได้ดีขึ้น
• สารอาหารบางอย่างอาจช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน เพื่อช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น * * (ที่มีประสิทธิภาพสูงคืออะไร)• มะเร็งเป็นโรคที่สัมพันธ์กับจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ การป้องกันเชิงรุกและการคิดในเชิงบวกจะช่วยให้เราสามารถอยู่รอดจากการทำสงครามกับมะเร็ง... ความโกรธ การไม่รู้จักให้อภัย และความขมขื่นใจ จะทำให้ร่างกายเกิดความตึงเครียดและมีสภาวะเป็นกรดเพิ่มขึ้น ให้เรียนรู้ที่จะมีความรักและจิตวิญญาณแห่งการให้อภัย เรียนรู้ที่จะผ่อนคลายและมีความสุขกับชีวิต• เซลมะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตได้ในสภาวะที่มีอ๊อกซิเจนสูง การออกกำลังกายทุกวัน และการหายใจลึกๆ จะช่วยให ้ร่างกายได้รับอ๊อกซิเจนเพิ่มขึ้นลงไปจนระดับเซล การบำบัดด้วยอ๊อกซิเจนถือเป็นวิธีการอีกวิธีหนึ่งที่ใช้ในการทำลายเซลมะเร็ง
ที่นี่ผู้อ่านลองตั้งคำถามเล่นๆดู ตามข้างล่างนี้นะคะ
* ทางเลือกสำหรับการป้องกันมะเร็ง อีกทางหนึ่งคืออะไร ??
* * สารอาหารที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันคืออะไร ??
เรียนรู้ ไวรัสH1N1 ไข้หวัด2009

คณะนักวิจัย Operation BIM จากศูนย์วิจัยและพัฒนามังคุดไทย ซึ่งประกอบด้วย นักวิจัยสหวิชาการจาก มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และ บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) ได้ค้นพบสูตรอาหาร BIM ซึ่งประกอบด้วยส่วนผสมของพืชและผลไม้ไทย 5 ชนิดที่ออกฤทธิ์เสริมซึ่งกันและกันในการลด พายุไซโตไคนส์ (cytokine storm) อันเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสทางเดินหายใจ (respiratory virus หรือ airborne virus) เช่นไวรัสไข้หวัดใหญ่ ไวรัสไข้หวัดนก ไวรัสซาร์ส และไวรัสไข้หวัดใหญ่ 2009 เป็นต้น
การติดเชื้อไวรัสในทางเดินหายใจจะกระตุ้นให้เซลล์เม็ดเลือดขาวหลั่งไซโตไคน์(เป็นสารที่หลั่งออกมาจากเม็ดเลือดขาวในการต่อสู้กับเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย) คือ อินเตอร์ลิวคิน-1เบต้า (Interleukin-1beta หรือ IL-1)เพื่อสื่อสารกับเซลล์เม็ดเลือดขาวอื่นๆรวมทั้งเซลล์ภูมิคุ้มกันให้หลั่งสารคัดหลั่งไซโตไคนส์หลากหลายชนิด โดยเฉพาะจะมีการหลั่งอินเตอร์ลิวคิน-1เบต้า และ ทูเมอร์ เนโครซิส แฟคเตอร์ อัลฟ่า (
ข่าวที่แถลงในงานประชุมผู้สื่อข่าว วันที่ 8 ตุลาคม 2552 ที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กรุงเทพTumor necrosis factor alpha หรือ TNF-) และสารภูมิคุ้มกันออกมาอย่างมากมายเพื่อกำจัดไวรัส เรียกว่าเกิดพายุไซโตไคนส์ (cytokine storm) อย่างไรก็ตามการเกิดปรากฏการณ์อย่างไร้การควบคุมนี้ จะทำให้เกิดการทำลายเนื้อเยื่อทางเดินหายใจ และถ้าเกิดที่ปอด สารคัดหลั่งน้ำและเซลล์ภูมิคุ้มกันจะสะสมในปอดอย่างมากจนสามารถเกิดการอุดตันภายในปอด (ปอดบวม) และทางเดินหายใจจนเสียชีวิตได้
การค้นพบครั้งนี้ มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์จากห้องปฏิบัติการยืนยัน โดยการใช้เชื้อ H1N1 ที่ทำให้หมดฤทธิ์แล้ว มาทำการกระตุ้นให้เซลล์เม็ดเลือดขาวของมนุษย์สร้างและหลั่งไซโตไคนส์ แล้ววัดระดับไซโตไคนส์สำคัญที่สุดสองชนิด ที่เป็นจุดเริ่มต้นของพายุไซโตไคนส์ คือ อินเตอร์ลิวคิน-1เบต้า และ ทูเมอร์ เนโครซิส แฟคเตอร์อัลฟ่า ผลจากห้องปฏิบัติการพบว่า สูตรอาหาร BIM สามารถลดระดับสารที่ทำให้เกิดไซโตไคนส์ทั้งสองชนิดลงได้อย่างมาก ซึ่งจะส่งผลให้ความรุนแรงของอาการที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสบริเวณทางเดินหายใจลดลง ในขณะเดียวกัน สูตรอาหาร BIM นี้ยังสนับสนุนให้เซลล์ภูมิคุ้มกัน (T-cell) สร้างไซโตไคน์ที่เป็นคุณต่อร่างกาย คือ อินเตอร์ลิวคิน-2 (IL-2) เพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งสัญญาณให้เม็ดเลือดขาวในร่างกายอยู่ในภาวะพร้อมที่จะกำจัดไวรัส นอกจากนี้ อินเตอร์ลิวคิน-2 ยังกระตุ้นให้เกิดการเพิ่มจำนวน และ การปรับสภาพของเซลล์ภูมิคุ้มกัน ทำให้มีการส่งสัญญาณระหว่างเม็ดเลือดขาวต่อ ๆ กันไป และช่วยให้สร้างสารภูมิคุ้มกัน (antibody) ที่เจาะจงเพื่อไปรวมตัวกับไวรัสนั้น ๆ แล้วจึงถูกกำจัดโดยเม็ดเลือดขาวต่อไป
การค้นพบในครั้งนี้ เป็นการเปิดมิติใหม่ของการเผชิญกับโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสทางเดินหายใจ คณะผู้วิจัยเชื่อว่าสูตรอาหาร BIM นี้จะสามารถลดวิกฤตการณ์การเสียชีวิตจากเชื้อไวรัสทุกชนิดในกลุ่มนี้ รวมทั้งชนิดที่จะเกิดขึ้นใหม่ จากการผสมข้ามสายพันธุ์ในอนาคตด้วยกระบวนการเดียวกันคือ การลดพายุไซโตไคนส์ (นั่นคือลดการสร้างและหลั่งไซโตไคนส์ สำคัญที่เป็นอันตรายต่อชีวิต)
บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) ได้จดสิทธิบัตร “สูตรอาหาร BIM” แล้วทั้งในประเทศและสากล
ที่มา: งานแถลงข่าว ภายในงานประชุมผู้สื่อข่าว วันที่ 8 ตุลาคม 2552 ที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กรุงเทพ
ทีมาของปฏิบัติการ “BIM” (OPERATION “BIM”)




องค์การมหาชน และ บริษัทมหาชน ประสานนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ระดับโลกจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของรัฐเหนือจรดใต้ ร่วมปฏิบัติการ “BIM” (OPERATION “BIM”) เพื่อสุขภาพที่ดีถ้วนหน้าของประชากรโลก ส่งผลให้เกิดอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนที่ใช้ผลไม้ และ ธัญพืชในประเทศไทย เป็นวัตถุดิบ และ เกิดมาตรการที่สามารถยกระดับราคาของผลผลิตทางธรรมชาติเหล่านี้อย่างถาวรต่อเนื่อง
OPERATION “BIM” (Balancing Immune) จะส่งผลให้ประชากรโลกสามารถมีอายุยืนขึ้น มีความสุขมากขึ้น มีสุขภาพดียิ่งขึ้น เพราะร่างกายสามารถป้องกันสิ่ง และ สารแปลกปลอมจากภายนอกที่ทำลายสุขภาพและ ก่อให้เกิดโรคร้าย เช่น สารเคมีอันตราย เชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส ตลอดจนเซลล์มะเร็ง และ ร่างกายสามารถลดอาการผิดปกติ ซึ่งเกิดขึ้นจากสภาวะแพ้ภูมิตัวเอง ที่ส่งผลให้เกิดปัญหาทางผิวหนัง สะเก็ดเงิน กระเพาะลำไส้อักเสบ ข้อเข่าเสื่อม เบาหวาน อาการแพ้ หัวใจ ตับและไตทำงานผิดปกติ หอบหืด สันนิบาต อาการชัก เป็นต้น
ความสามารถของร่างกายในการป้องกันและ / หรือ ลดอาการผิดปกติในร่างกาย ซึ่งบั่นทอนสุขภาพนี้ เกิดขึ้นจากการที่ร่างกายสามารถปรับระดับภูมิคุ้มกันให้สมดุลอยู่ตลอดเวลา ไม่อยู่ในระดับน้อยเกินไปจนติดเชื้อ และ ถูกกระทบโดยสิ่งแปลกปลอมได้ง่าย และไม่อยู่ระดับมากเกินไปจนเกิดอาการผิดปกติ หรือโรคที่เกิดจากการแพ้ภูมิตัวเอง (Auto-immune diseases) หรือ อีกนัยหนึ่งก็คือ เกิดภาวะภูมิบำบัด (Auto-immunotherapy) ที่ทำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันสมดุล (Immune Balance หรือ Immunomodulation) ขึ้นในร่างกายภูมิบำบัดที่เกิดขึ้นนี้ เป็นผลจากการกระตุ้นการหลั่ง Interleukin-2 ซึ่งเป็นชีวโมเลกุลที่เพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกายให้มากขึ้นได้อย่างมหัศจรรย์ แต่ไม่มากเกินไปจนเกิดผลข้างเคียง และ เป็นผลจากการลดการหลั่ง Interleukin-1 ซึ่งเป็นชีวโมเลกุลที่ทำให้เกิดการแพ้ภูมิตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงแต่ไม่ลดน้อยจนเกิดสภาวะไม่สมดุลความสามารถของร่างกายในการเพิ่ม Interleukin-2 และลด Interleukin-1 นี้ เกิดขึ้นได้จากการรับประทานผลิตภัณฑ์ธรรมชาติสูตรพิเศษ BIM ซึ่งได้จากการผสมสารธรรมชาติสุดยอดสรรพคุณจากผลไม้และธัญพืชหลากชนิดเข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดการเสริมประสิทธิภาพ (Synergistic)
โดยใช้ประสบการณ์ และ ความรู้ เกี่ยวกับสารธรรมชาติสุดยอดสรรพคุณเหล่านี้ ที่นักวิจัยสหวิชาการได้สะสมมาตลอดระยะเวลา 31 ปี ผนวกกับความรู้ปัจจุบันทันสมัยของชีวโมเลกุลที่มีประโยชน์ทางการแพทย์ในวันนี้ โดยการใช้ผลิตภัณฑ์จาก Operation “BIM” เราสามารถเพิ่ม Interleukin 2 ในร่างกายได้เองในปริมาณที่ไม่มากเกินไปจนเกิดผลข้างเคียง แล้วยังสามารถลดความผิดปกติที่เกิดจากการแพ้ภูมิตัวเองได้อีกด้วย
สำนักงานอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาได้อนุญาตให้ใช้ Interleukin-2 เป็นยาฉีดเข้าเส้นเลือดและเข้าใต้ผิวหนังเพื่อรักษามะเร็งขั้นสุดท้าย บริษัทยาบริษัทหนึ่งมีรายได้จากการจำหน่ายยานี้กว่า 124 ล้านเหรียญในปี 2005 การรักษาด้วยยานี้ได้ผลดี แต่มีผลข้างเคียงร่วมด้วยการรวมพลังทางสติปัญญา ความรู้ความเชี่ยวชาญ และ ประสบการณ์วิจัยของนักวิทยาศาสตร์การแพทย์จากหลากหลายสาขาวิชาการ เพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์และ เป้าหมายเดียวกัน ได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนงบประมาณ จาก องค์การมหาชน สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร และ บริษัทมหาชน Asian Phytoceuticals Public Co., Ltd. จึงทำให้เกิด OPERATION “BIM” อันเป็นกระบวนการรวมพลังครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของวิทยาศาสตร์ไทย
นักวิทยาศาสตร์ที่มีส่วนร่วมทำให้เกิด OPERATION “BIM” มีมากกว่า 25 คน และ ที่มีบทบาทสำคัญ คือ
1. รศ.ดร. วิลาวัลย์ มหาบุษราคัม (นักวิจัยเคมีอินทรีย์) และ ภ.ญ. รศ.ดร. เสาวลักษณ์ พงษ์ไพจิตร (เภสัชกรและนักวิจัยจุลชีววิทยา) ซึ่งนอกจากจะเป็นผู้ทำงานการสอนและ การวิจัยในคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มากว่า 20 ปีแล้ว ยังเป็นนักวิจัยชั้นนำของสถานวิจัยผลิตภัณฑ์ธรรมชาติในมหาวิทยาลัยเดียวกันอีกด้วย
2. ภ.ญ. รศ.ดร.อำไพ ปั้นทอง ( นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญด้านเภสัชวิทยา และ พิษวิทยาของผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ) ผู้เชี่ยวชาญของ UNESCO ทางด้านการศึกษาฤทธิ์การต้านการอักเสบของสารสกัดจากสมุนไพรในเอเชีย และ ทำการสอนและการวิจัยในคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มากกว่า 35 ปี
3. รศ.ดร. ปรัชญา คงทวีเลิศ (นักวิจัยชีวเคมี) ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศในการวิจัยวิศวกรรมเนื้อเยื่อ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้ได้รับรางวัลวิจัยยอดเยี่ยมจากสำนักงานสนับสนุนการวิจัย ได้รับรางวัล Cerebos Award ในปี 2006 และ เป็นผู้ทำการสอนและการวิจัยในคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มากว่า 20 ปี
4. ผศ.ดร. ศิริวรรณ องค์ไชย (นักวิจัยชีวเคมี) นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญด้านผลของสมุนไพรต่อกระดูกอ่อนของศูนย์ความเป็นเลิศในการวิจัยวิศวกรรมเนื้อเยื่อ ทำการสอนและการวิจัย ในคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มากว่า 15 ปี
5. ศ.ดร. พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา (นักวิจัยเคมีอินทรีย์และฤทธิ์ชีวภาพของผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ) นักวิจัยผู้ศึกษาสารสกัดและฤทธิ์ทางชีวภาพของพืชสมุนไพรกว่า 200 ชนิด เป็นนักวิจัยรับเชิญของสถาบันวิจัยมะเร็ง ในประเทศเยอรมัน ทำการสอนและการวิจัยในคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รวมเวลา 26 ปี ก่อนหันทิศทางชีวิตออกจากมหาวิทยาลัย จัดตั้งบริษัทเอกชนที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการวิจัย พัฒนาและพาณิชย์ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ ปัจจุบันเป็น ประธานกรรมการ และ CEO ของ Asian Phytoceuticals Public Co., Ltd.
จุดเริ่มต้นของ OPERATION “BIM” เกิดขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1971 เมื่อคณะนักวิจัยในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้รับคำแนะนำจากนักการภารโรง (นายเขียว พัฒจรินทร์) ว่าเปลือกมังคุดฝนกับน้ำปูนใส สามารถใช้ทาแผล ทำให้แผลแห้งและหายอย่างรวดเร็ว
คณะนักวิจัยจึงเริ่มศึกษาความเป็นไปได้ในการแยกสารที่ออกฤทธิ์จากเปลือกมังคุด ซึ่งหากเป็นประโยชน์ก็จะเป็นวิธีการกำจัดขยะจากเปลือกมังคุด ด้วยเหตุนี้การวิจัยเกี่ยวกับมังคุดตามหลักวิทยาศาสตร์สากลในลักษณะของความร่วมมือของนักวิจัยสหสาขาวิชาการ จึงเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกของโลกและดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 8 ปี ก่อนจะสรุปได้ว่า สารจากมังคุดที่มีประสิทธิภาพสูงสุดคือสาร GM-1 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการยับยั้งการเจริญ และ ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะ มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และ ระงับปวดในสัตว์ทดลอง โดยมีความแรงของฤทธิ์เป็น 3 เท่าของแอสไพริน ลดอาการแพ้ และ แก้ปวดในหนูทดลอง ต้านอนุมูลอิสระได้ดี สมานผิวได้อย่างรวดเร็ว และฆ่าเซลล์มะเร็งในหลอดทดลองได้ และจากการทดสอบความปลอดภัย พบว่า สาร GM-1 เป็นสารที่มีความปลอดภัยสูง และ ปลอดภัยกว่าสารธรรมชาติที่ให้รสเปรี้ยว (citric acid) ในมะนาวและส้ม ถึง 5 เท่า
จากข้อจำกัดทางด้านเงินทุน และ กฏเกณฑ์ที่ถูกกำหนดขึ้นในประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่ใช้ใน World Health Organization ทำให้การพัฒนา GM-1 ไปใช้เป็นองค์ประกอบของยาแผนปัจจุบันเป็นไปได้น้อยมาก คณะวิจัยจึงได้แต่เพียงนำ GM-1 เสริมกับสารสกัดจากธรรมชาติอื่น ๆ เป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอาง สำหรับผู้มีปัญหาสภาพผิวเรื้อรัง จากสิวและอาการแพ้ จากการร่วมวิจัยพัฒนาและ ทดสอบกับ บริษัท Henkel KGa ของประเทศเยอรมัน จึงได้มีการผลิตสบู่ เจลล้างหน้า ครีมบำรุง ครีมกันแดด ครีมอาบน้ำ ครีมสิว ที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งมีส่วนประกอบสำคัญคือ สารสกัดจากเปลือกมังคุด GM-1 ออกสู่ตลาดเป็นครั้งแรกของโลก โดยไม่มี ส่วนผสมของ Tannin ในเปลือกมังคุด อันอาจทำให้ผิวคล้ำได้อยู่ด้วย
ผลงานวิจัยของคณะนักวิจัยไทย ได้รับการเผยแพร่ทั้งในสื่อภายในประเทศและพิมพ์เผยแพร่ในวารสารทางวิชาการทั่วโลก ก่อให้เกิดการวิจัยตามมาจากนักวิจัยหลายคณะ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักวิจัยไทย ใน ค.ศ. 2003 บริษัทอเมริกันบริษัทหนึ่งได้นำผลงานวิจัยเหล่านี้ไปใช้ในการระบุประสิทธิภาพของน้ำมังคุดที่จำหน่ายในอเมริกา และ ขยายออกไปทั่วโลก เกิดการสร้างรายได้ (โดยการจำหน่ายในระบบขายตรงหลายชั้น) 40,000 ล้านบาทในเวลา 2 ปี ทำให้เกิดการแข่งขันในการผลิตและจำหน่ายอย่างกว้างขวาง แต่ทว่า ผลิตภัณฑ์น้ำมังคุดเหล่านี้ล้วนมีสีน้ำตาลเข้มเพราะใช้เปลือกมังคุดผสม ในเชิงวิทยาศาสตร์การผลิตลักษณะนี้เป็นการผลิตที่ง่ายเกินไป และไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เพราะเปลือกมังคุดไม่ใช่ของบริโภคแต่ทิ้งเป็นขยะ จะใช้ต้มดื่มบ้างก็ต่อเมื่อใช้แก้อาการท้องเดิน นานๆ ครั้ง คนไทยตั้งแต่สมัยโบราณอาจจะมีประสบการณ์จนเกิดเป็นความรู้ว่า ไม่ควรบริโภคเปลือกมังคุดเพราะก่อให้เกิดโทษได้ ความจริงทางวิทยาศาสตร์ก็เป็นเช่นนั้น เพราะในเปลือกมังคุดมีสารแทนนินอยู่ในปริมาณมาก หากบริโภคมากเกินไปจะทำให้ท้องผูก และเป็นพิษต่อตับ มีผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และ ลดการดูดซึมอาหารผ่านกระเพาะ อีกทั้งมีผลงานวิจัยระบุว่า แทนนินเป็นต้นเหตุของการเกิดมะเร็งในร่องแก้มและทางเดินอาหารได้ด้วย นอกจากนี้เปลือกมังคุดยังอาจปนเปื้อนยาฆ่าแมลงที่ใช้ในการพ่นผลมังคุดในระหว่างการปลูกอีกด้วย
คณะนักวิจัยมังคุดของไทยได้เฝ้าติดตามกรณีของน้ำมังคุดที่จำหน่ายอยู่ด้วยความเป็นห่วงว่า สักวันหนึ่งอาจมีผู้บริโภคน้ำมังคุดที่มีส่วนผสมของเปลือกมากเกินไปจนเกิดอาการไม่พึงประสงค์ได้ ประกอบทั้งมีข่าวเล่ากันว่า มีผู้บริโภคแล้วคันตามตัวบ้าง ท้องผูกบ้าง ท้องเดินบ้าง ดังนั้นในฐานะที่เป็นผู้จุดประกายเกี่ยวกับประโยชน์ของมังคุดจนเกิดผลิตภัณฑ์เหล่านี้ขึ้น คณะนักวิจัยจึงเริ่มตระหนักถึงหน้าที่ ที่จะต้องให้ความรู้แก่ผู้บริโภคให้พึงระวังถึงผลข้างเคียงอันอาจจะเกิดขึ้น และในขณะเดียวกันก็ควรที่จะต้องเป็นผู้ให้คำแนะนำว่า ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในลักษณะที่ถูกต้อง มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และ ไร้ผลข้างเคียง ควรจะเป็นเช่นไร
ในปี 2007 เมื่อราคามังคุดตกต่ำลงจนเกือบไม่คุ้มที่จะเก็บผลจากต้น สร้างความทุกข์ให้แก่ชาวสวนที่เฝ้า ฟูมฟัก รักษาผลมังคุดมาตลอดปีด้วยกำลังกาย และ กำลังทรัพย์ คณะนักวิจัยจึงเห็นว่า ถึงเวลาที่จะต้องนำความรู้ ผลงานวิจัย และ ประสบการณ์เกี่ยวกับมังคุดมาใช้ในการแก้ไขปัญหาชาวสวนพร้อม ๆ กับการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า มีความปลอดภัยมากกว่าการดื่มน้ำมังคุดผสมเปลือกหลายเท่าตัว
ด้วยเหตุนี้ OPERATION “BIM” จึงเริ่มขึ้นอย่างจริงจังเป็นกระบวนการต่อเนื่องจนประสบความสำเร็จในปัจจุบันจากการวิจัยเพิ่มเติมพบว่า การใช้สารจากมังคุดบริโภคเพื่อให้เกิดภูมิสมดุลในร่างกายจะต้องใช้ในปริมาณมากจึงจะแสดงประสิทธิภาพ และเมื่อใช้ต่อเนื่องเพื่อเสริมสุขภาพในระยะยาว อาจเกิดการสะสมมากจนกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลาง (central nervous system) ได้คณะนักวิจัยจึงได้ใช้ศาสตร์ของการเสริมฤทธิ์ โดยนำสารธรรมชาติสุดยอดจากผลไม้และธัญพืชหลากชนิดผสมกับสาร GM-1 จนได้ ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติสูตรพิเศษ BIM
หลังจากการทดสอบจนแน่ใจว่ามีประสิทธิภาพสูง ปลอดภัย และไร้ผลข้างเคียงแล้ว จึงจดทะเบียนกับสำนักงานอาหารและยา เป็นแคปซูลผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร พร้อมทั้งได้จดสิทธิบัตรสูตรไว้ด้วยในขณะเดียวกัน คณะนักวิจัยได้ใช้ความรู้จากปริมาณสารที่มีอยู่ในแคปซูลผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นหลักในการผลิตน้ำมังคุดสกัดเข้มข้นที่ใช้แล้วได้ผลเช่นเดียวกัน โดยที่ไม่มีการเติมสีสังเคราะห์ ไม่เติมน้ำตาล ไม่มีสารกันบูด ไม่แต่งกลิ่นด้วยสารเคมี ไม่มีส่วนเปลือกซึ่งอาจปนเปื้อนยาฆ่าแมลง ไม่มีแทนนินสีน้ำตาลจากเปลือกในปริมาณมากจนเกิดผลข้างเคียง แต่สามารถช่วยปรับระดับภูมิคุ้มกันในร่างกายให้สมดุล เช่นเดียวกับ ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติสูตรพิเศษ BIM และได้ทำการจดสิทธิบัตรกระบวนการผลิตไว้เมื่อกลางปี 2551 นี้
เพียงในระยะเวลา 1 ปี ที่มีผู้ทดลองใช้ ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติสูตรพิเศษ BIM โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นแคปซูลเสริมอาหาร ผลที่ได้รับจากการใช้ของผู้บริโภค ได้สร้างความพึงพอใจให้แก่ทั้งผู้บริโภค และ คณะนักวิจัยอย่างมาก ประสิทธิภาพเอนกอนันต์ที่ได้รับรายงานจากผู้บริโภค และ ผลที่ได้จากการทดสอบตามหลักวิทยาศาสตร์สากลในห้องปฏิบัติการ และ ในอาสาสมัคร ทำให้เชื่อมั่นได้ว่า OPERATION “BIM” จะเป็นปรากฏการณ์สร้างประโยชน์แก่ประชากรทั่วโลกอย่างสูงยิ่ง และ สร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทยโดยถ้วนหน้า ที่นักวิทยาศาสคร์ของไทยสามารถรวมพลังสติปัญญา ความรู้และประสบการณ์ในการคิด “นอกกรอบ” พัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีคุณภาพเป็นหนึ่ง ไม่เป็นสองรองใคร ในโลกแห่งวิทยาการ
เอกสารประกอบการบรรยาย ในการประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 34
ขบวนการจัดการ ความสมดุลของร่างกาย

OPERATION BIM
ขบวนการจัดการความสมดุลของร่างกาย
ครั้งแรกของประวัติศาสตร์วงการวิทยาศาสตร์การแพทย์ไทย กับความสำเร็จในการพัฒนาและวิจัยทางวิทยาศาสตร์นอกกรอบของกลุ่มนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ระดับโลกจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ(มช. และมอ.)กับการค้นพบปฎิบัติการ BIM จนได้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารธรรมชาติสูตรพิเศษ BIM สร้างและปรับระดับภูมิคุ้มกันให้สมดุลอยู่ตลอดเวลา ป้องกันสิ่งแปลกปลอมอันก่อให้เกิดโรคร้ายได้ดีและไร้ผลข้างเคียง พร้อมเปิดรับพันธมิตรส่งออกซ่อมแซมสุขภาพคนทั้งโลก
ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา นักวิจัยชื่อดังและหนึ่งในผู้ประสานงาน OPERATION BIM กล่าวว่า จากการรวมพลังทางสติปัญญาความรู้ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์การวิจัยของนักวิทยาศาสตร์การแพทย์จากหลากหลายสาขาวิชาการ และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์นอกกรอบเพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์และเป้าหมายเดียวกัน ได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนงบประมาณจากองค์การมหาชน สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร และ บริษัทมหาชน Asian Phytoceuticals Public Co., Ltd. จึงทำให้เกิด OPERATION BIM อันเป็นกระบวนการรวมพลังครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของวิทยาศาสตร์ไทยBIM (Balancing Immune) จะส่งผลให้ประชากรโลกสามารถมีอายุยืนขึ้นมีความสุขมากขึ้น มีสุขภาพดียิ่งขึ้น เพราะร่างกายสามารถป้องกันสารแปลกปลอมจากภายนอกที่ทำลายสุขภาพและ ก่อให้เกิดโรคร้าย เช่น สารเคมีอันตราย เชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส ตลอดจนเซลล์มะเร็ง และ ร่างกายสามารถลดอาการผิดปกติซึ่งเกิดขึ้นจากสภาวะแพ้ภูมิตัวเองที่ส่งผลให้เกิดปัญหาทางผิวหนัง สะเก็ดเงิน กระเพาะลำไส้อักเสบ ข้อเข่าเสื่อม เบาหวาน อาการแพ้ หัวใจ ตับและไตทำงานผิดปกติ หอบหืด สันนิบาต อาการชัก เป็นต้น
ความสามารถของร่างกายในการป้องกันและ/หรือลดอาการผิดปกติในร่างกายซึ่งบั่นทอนสุขภาพนี้ เกิดขึ้นจากการที่ร่างกายสามารถปรับระดับภูมิคุ้มกันให้สมดุลอยู่ตลอดเวลา ไม่อยู่ในระดับน้อยเกินไปจนติดเชื้อ และถูกกระทบโดยสิ่งแปลกปลอมได้ง่าย และไม่อยู่ระดับมากเกินไปจนเกิดอาการผิดปกติ หรือโรคที่เกิดจากการแพ้ภูมิตัวเอง (Auto-immune diseases) หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เกิดภาวะภูมิบำบัดในร่างกาย (Auto-immunotherapy) ที่ทำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันสมดุล (Immune Balance หรือ Immunomodulation) ขึ้นในร่างกาย ภูมิบำบัดที่เกิดขึ้นนี้เป็นผลจากการกระตุ้นการหลั่ง Interleukin 2 ซึ่งเป็นชีวโมเลกุลที่เพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกายให้มากขึ้นได้อย่างมหัศจรรย์ แต่ไม่มากเกินไปจนเกิดผลข้างเคียง และเป็นผลจากการลดการหลั่ง Interleukin 1 ซึ่งเป็นชีวโมเลกุลที่ทำให้เกิดการแพ้ภูมิตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงแต่ไม่ลดน้อยจนเกิดสภาวะไม่สมดุล“ความสามารถของร่างกายในการเพิ่ม Interleukin 2 และลด Interleukin 1 นี้ เกิดขึ้นได้จากการรับประทานผลิตภัณฑ์ธรรมชาติสูตรพิเศษ BIM ซึ่งได้จากการผสมสารธรรมชาติสุดยอดสรรพคุณจากผลไม้และธัญพืชหลากชนิดเข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดการเสริมประสิทธิภาพ (Synergistic) โดยใช้ประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับสารธรรมชาติสุดยอดสรรพคุณเหล่านี้ ที่นักวิจัยสหวิชาการได้สะสมมาตลอดระยะเวลา 31 ปี ผนวกกับความรู้ปัจจุบันทันสมัยของชีวโมเลกุลที่มีประโยชน์ทางการแพทย์ในวันนี้ โดยการใช้ผลิตภัณฑ์จาก Operation BIM เราสามารถเพิ่ม Interleukin 2 ในร่างกายได้เองในปริมาณที่ไม่มากเกินไปจนเกิดผลข้างเคียงแล้ว ยังสามารถลดความผิดปกติที่เกิดจากการแพ้ภูมิตัวเองได้อีกด้วย ที่ผ่านมาสำนักงานอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาได้อนุญาตให้ใช้ Interleukin 2 เป็นยาฉีดเข้าเส้นเลือดและเข้าใต้ผิวหนังเพื่อรักษามะเร็งขั้นสุดท้าย บริษัทยาบริษัทหนึ่งมีรายได้จากการจำหน่ายยานี้กว่า 100 ล้านเหรียญในปี 2005 การรักษาด้วยยานี้ได้ผลดี แต่มีผลข้างเคียงร่วมด้วย
นักวิทยาศาสตร์ไทย ที่มีบทบาทสำคัญใน OPERATION BIM คือ รศ.ดร. วิลาวัลย์ มหาบุษราคัม, ภ.ญ.รศ.ดร. เสาวลักษณ์ พงษ์ไพจิตร, ภ.ญ.รศ.ดร.อำไพ ปั้นทอง, รศ.ดร. ปรัชญา คงทวีเลิศ, ผศ.ดร. ศิริวรรณ วงศ์ไชย และรวมถึงตน (ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา) ด้วย
ศ.ดร.พิเชษฐ์ กล่าวอีกว่า “คณะนักวิจัยได้ใช้ศาสตร์ของการเสริมฤทธิ์ โดยนำสารธรรมชาติสุดยอดจากผลไม้และธัญพืชหลากชนิดผสมกับสาร GM-1 จากมังคุด จนได้ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติสูตรพิเศษ BIM หลังจากการทดสอบจนแน่ใจว่ามีประสิทธิภาพสูง ปลอดภัย และไร้ผลข้างเคียงแล้ว จึงจดทะเบียนกับสำนักงานอาหาร และยาเป็นแคปซูลผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร พร้อมทั้งได้จดสิทธิบัตรสูตรไว้ด้วย
ในขณะเดียวกันคณะนักวิจัยได้ใช้ความรู้จากปริมาณสารที่มีอยู่ในแคปซูลผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นหลักในการผลิตน้ำมังคุดสกัดเข้มข้นที่ใช้แล้วได้ผลเช่นเดียวกัน โดยที่..
ไม่มีการเติมสีสังเคราะห์
ไม่เติมน้ำตาล
ไม่มีสารกันบูด
ไม่แต่งกลิ่นด้วยสารเคมี
ไม่มีส่วนเปลือกซึ่งอาจปนเปื้อนยาฆ่าแมลง
ไม่มีแทนนินสีน้ำตาลจากเปลือกในปริมาณมากจนเกิดผลข้างเคียง
แต่สามารถช่วยปรับระดับภูมิคุ้มกันในร่างกายให้สมดุล เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์ธรรมชาติสูตรพิเศษ BIM และได้ทำการจดสิทธิบัตรกระบวนการผลิตไว้เมื่อกลางปี 2551 นี้ โดยมีแผนที่จะระดมทุนจากผู้สนใจในการร่วมผลิตจากทั้งภาครัฐและเอกชนให้เป็นผลิตภัณฑ์หนึ่งเดียวของประเทศไทยที่เสริมสร้างสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย ไร้ผลข้างเคียงให้กับประชากรโลก และจะร่วมมือกับผู้ที่ต้องการส่งออกรวมทั้งผู้ที่ส่งออกน้ำมังคุดมาตรฐานอื่นอยู่แล้วในขณะนี้ให้ใช้ผลิตภัณฑ์มาตรฐานนี้ในการส่งออกต่อไป
ประสิทธิภาพ อเนกอนันต์ ที่ได้จากการวิจัยครั้งนี้นั้น ศ.ดร.พิเชษฐ์ เปิดเผยว่าได้รับรายงานจากผู้บริโภคและผลที่ได้จากการทดสอบตามหลักวิทยาศาสตร์สากลในห้องปฏิบัติการและในอาสาสมัคร ทำให้เชื่อมั่นได้ว่า OPERATION BIM จะเป็นปรากฏการณ์สร้างประโยชน์แก่ประชากรทั่วโลกอย่างสูงยิ่ง และสร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทยโดยถ้วนหน้า ที่นักวิทยาศาสตร์ของไทยสามารถรวมพลังสติปัญญาความรู้และประสบการณ์ในการคิดนอกกรอบพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีคุณภาพเป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใครในโลกแห่งวิทยาการ
องค์การมหาชน และ บริษัทมหาชน ประสานนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ระดับโลกจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของรัฐเหนือจรดใต้ร่วมปฏิบัติการ “BIM” (OPERATION BIM) เพื่อสุขภาพที่ดีถ้วนหน้าของประชากรโลก ส่งผลให้เกิดอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนที่ใช้ผลไม้และธัญพืชในประเทศไทยเป็นวัตถุดิบ และเกิดมาตรการที่สามารถยกระดับราคาของผลผลิตทางธรรมชาติเหล่านี้อย่างถาวรต่อเนื่อง ศ.ดร.พิเชษฐ์ กล่าวทิ้งท้ายอ้างถึงที่มา: สยามรัฐ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2551
วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
Operation BIM @Hatyai
สัมมนา
"Operation BIM กับทุกปัญหาสุขภาพ”
โรงแรมบีพี แกรนด์ หาดใหญ่ จ.สงขลา
เวลา 13.00 - 17.00 น.
โดย ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตราและคณะนักวิจัย
ร่วมฟังและชม การนำความรู้ด้านจุลชีววิทยา, สารสกัดจากธรรมชาติ มาใช้เสริมสุขภาพได้อย่างไร และร่วมซักถามปัญหาสุขภาพ
13.00-14.00น. ดร.พิเชษฐ์ฯ บรรยายการค้นพบประโยชน์ในผลส้มแขก
(พร้อมสาธิตการนวดสลายไขมันในเวลาเดียวกัน)
14.00-16.00น. OperationBIM กับทุกปัญหาสุขภาพ
16.00-16.30น. นวัตกรรมวิทยาศาสตร์ สู่โอกาสทางธุรกิจ
16.30น. จบการสัมมนา
ฟรี ตลอดงาน
พิเศษ สำหรับผู้เข้าสัมมนา นำบัตรเชิญมาแสดงรับซีดี
"Operation BIM กับทุกปัญหาสุขภาพ” ฟรี (100 ท่านแรกเท่านั้น)
สนใจขอรับบัตรเข้าฟังการสัมมนาได้ที่ 08-7479-0050
หรือ อีเมล goohip@live.com
ร่วมสนับสนุนโดย
ร้านบ้านธรรมชาติ http://goohip.com/
ช้อปปอ้งมอลล์ของคนรักสวยรักงาม http://asianlifemall.com
วันจันทร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2553
แนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ TrimOne Special Formula

TrimOne Special Formula
โลชั่นกระชับผิว เพื่อผิวแลดูกระชับขึ้น ใช้เป็นประจำทุกวัน หลังอาบน้ำเช้า-เย็น ทาบริเวณต้นแขน ต้นขา เอว และสะโพก เพื่อหุ่นที่ดูเพรียวบาง สูตรพิเศษเพิ่มประสิทธิภาพโดยใช้สารสกัดที่มีความเข้มข้นขององค์ประกอบที่ช่วยกระัชับสัดส่วน และลดเซลลูไลท์มากกว่าเดิม เนื้อโลชั่นเนียนนุ่ม สีครีม ดูดซึมได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ไม่ทิ้งคราบบนผิวบริเวณที่ทา แม้จะใช้นวดครั้งละ 1 ขวด
วิธีใช้ วันละ 2 ครั้ง หลังอาบน้ำเช้า-เย็น ลูบไล้โลชั่นทีละน้อยบริเวณที่มีเซลลูไลท์ หรือไขมันส่วนเกิน จนโลชั่นซึมหมดแล้วทำซ้ำหลาย ๆ ครั้ง ยิ่งใ้ช้มากจะได้ผลเร็วมาก
หากต้องการเห็นผลในแต่ละบริเวณใน 1 สัปดาห์ใช้
- 2 ฝาขวด สำหรับบริเวณเอว
- 2 ฝาขวด สำหรับสะโพก
- 2 ฝาขวด สำหรับต้นขา
- 1 ฝาขวด สำหรับต้นแขน
วิธีใช้ วันละ 2 ครั้ง หลังอาบน้ำเช้า-เย็น ลูบไล้โลชั่นทีละน้อยบริเวณที่มีเซลลูไลท์ หรือไขมันส่วนเกิน จนโลชั่นซึมหมดแล้วทำซ้ำหลาย ๆ ครั้ง ยิ่งใ้ช้มากจะได้ผลเร็วมาก
หากต้องการเห็นผลในแต่ละบริเวณใน 1 สัปดาห์ใช้
- 2 ฝาขวด สำหรับบริเวณเอว
- 2 ฝาขวด สำหรับสะโพก
- 2 ฝาขวด สำหรับต้นขา
- 1 ฝาขวด สำหรับต้นแขน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)